จัดฟันแบบใสแตกต่างกับจัดฟันแบบโลหะอย่างไร

Create Date | 18 สิงหาคม, 2020 3524 Views

 

ข้อแตกต่าง ระหว่าง จัดฟันแบบใส และ จัดฟันแบบโลหะ

สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจอยากจัดฟันอยู่ คำถามที่มักสงสัยกันมากคือ จะเลือกการจัดฟันแบบไหนดี โดยที่การจัดฟันที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ การจัดฟันแบบโลหะ และ การจัดฟันแบบใส โดยที่การจัดฟันแต่ละประเภทมีข้อแตกต่างกันดังนี้

ขั้นตอนการจัดฟัน

  • การจัดฟันแบบโลหะ ทันตแพทย์จะค่อยๆปรับลวดที่ติดอยู่กับฟันให้เคลื่อนที่ไปในตำแหน่งตามแผนการรักษาของคนไข้คนนั้น ๆ ซึ่งจะมีการปรับลวดรวมถึงการเปลี่ยนยางช่วยดึงฟันทุก ๆ เดือน จนกว่าฟันจะเรียงตัวสวยตามแผนการรักษา
  • การจัดฟันแบบใส จะใช้เครื่องสแกน3มิติ (Digital3D Scan) ร่วมกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยวางแผนการรักษาซึ่งจะคำนวนการเคลื่อนฟัน สามารถขยับฟันทีละซี่ได้ตามต้องการ จึงทำให้มีความแม่นยำสูง มากกว่าการจัดฟันแบบโลหะ

วัสดุของเครื่องมือจัดฟัน

  • การจัดฟันแบบโลหะ เป็นการจัดฟันแบบใช้เครื่องมือติดแน่นที่ทำจากวัสดุโลหะ โดยโลหะที่ติดกับฟันเรียกว่า “แบร็คเก็ต” ซึ่งเป็นตัวเชื่อมติดกับฟันและใช้ลวดร้อยผ่านแบร็คเก็ตโดยมียางช่วยดึงเพิ่มแรงที่ตัวฟันเพื่อให้ฟันเคลื่อน
  • การจัดฟันแบบใส จะใช้วัสดุที่ผลิตจากพลาสติก PETG ที่มีความยืดหยุ่น แข็งแรง จึงทำให้คนไข้ไม่รู้สึกบีบรัดกับเหงือก รวมถึงไม่รบกวนผิวหน้าฟันขณะใส่เครื่องมือ และเมื่อจัดฟันเสร็จแล้วก็ทำให้ผิวหน้าฟันไม่ถูกทำลายเหมือนการติดอุปกรณ์จัดฟันแบบโลหะ รวมทั้งยังมีความใส มองไม่เห็นเครื่องมือจัดฟัน ทำให้ไม่เสียบุคลิก

ระยะเวลาของการจัดฟัน

  • การจัดฟันแบบโลหะนั้น ต้องปรับดึงลวดและยางทุกเดือน ทำให้ไม่ทราบระยะเวลาจัดฟันที่แน่นอน การจัดฟันประเภทนี้จะใช้ระยะเวลา 2-5 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะฟันและแผนการรักษาของคนไข้คนนั้น
  • การจัดฟันแบบใส เป็นการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือสแกน3มิติ (Digital 3D Scan) และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการคำนวนระยะเวลาจัดฟัน ทำให้ทราบผลการรักษาและระยะเวลาที่แม่นยำ ทำให้คนไข้สามารถเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ยังไม่จัดฟัน ระยะเวลาการจัดฟันในกรณีคนไข้ที่มีปัญหาฟันไม่ซับซ้อนใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาฟันที่ซับซ้อนใช้เวลา 1-2 ปี ซึ่งการจัดฟันแบบใสใช้ระยะเวลาในการจัดฟันเร็วกว่าจัดฟันแบบโลหะ

นอกจากนี้การจัดฟันแบบใสยังมีข้อดีคือสามารถใส่เข้าหรือถอดออกได้อย่างสะดวกเมื่อรับประทานอาหารและสะดวกต่อการทำความสะอาด

สรุปความแตกต่างระหว่างจัดฟันแบบใสกับจัดฟันแบบโลหะ

การจัดฟันทั้ง 2 แบบมีข้อแตกต่างกัน แต่การจัดฟันแบบใสมีข้อดีกว่าจัดฟันแบบโลหะ ดังนี้

  • ใช้เวลาจัดฟันเสร็จเร็วกว่า
  • ผลการรักษาแม่นยำมากกว่า
  • ไม่มีอาการบาดเจ็บในช่องปากระหว่างจัดฟัน
  • ทำความสะอาดง่ายกว่า ดีต่อสุขภาพช่องปาก
  • มองไม่เห็นเครื่องมือจัดฟัน ทำให้ไม่เสียบุคลิกภาพ ผู้ใหญ่ก็จัดฟันใสได้

 


ปรึกษาเรื่องจัดฟันแบบใส ได้ที่
คลินิกทันตกรรม ดิไอวรี่ ได้ที่เบอร์ 02-275-3599 ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.
หรือสามารถติดต่อได้ทาง LINE: @theivorydental

การทำรากฟันเทียมเหมาะกับใคร

Create Date | 27 กรกฎาคม, 2020 5258 Views
รากฟันเทียม-เหมาะกับใคร-คลินิกทันตกรรม-ดิไอวรี่

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม

การทำรากฟันเทียมนั้นอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน ดังนั้นอันดับแรกผู้ที่สูญเสียฟัน ต้องทำคือมาพบทันตแพทย์ก่อนเพื่อวินิจฉัยว่าสามารถทำรากฟันเทียมได้หรือไม่ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ที่เหมาะกับการทำรากฟันเทียม ได้แก่

  • ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากหากอายุต่ำกว่า18 ปี กระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
  • ผู้ที่ฟันแตกหักหรือฟันบิ่น โดยที่ทันตแพทย์แนะนำว่าควรถอนฟันซี่นั้นออก ก็สามารถทำรากฟันเทียมทดแทนฟันที่สูญเสียไป
  • ผู้ที่ไม่ต้องการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้
  • ผู้ที่ไม่ต้องการกรอฟันเพื่อทำสะพานฟันติดแน่น

ใครบ้างที่ไม่ควรทำรากฟันเทียม

  • ผู้ที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี เนื่องจาก กระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
  • หญิงตั้งครรภ์ ควรรอให้คลอดบุตรก่อนจึงสามารถทำรากฟันเทียมได้
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ไม่ได้รับการควบคุม เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งเสี่ยงต่อการที่บาดแผลหายช้า อักเสบ และติดเชื้อได้
  • ผู้ที่เป็นมะเร็ง ที่ต้องได้รับการฉายแสงบริเวณใบหน้าและขากรรไกร
  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน หรือมีภาวะกระดูกไม่แข็งแรง
  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ควรได้รับการรักษาเพิ่มเติมก่อนทำรากฟันเทียม
  • ผู้ป่วยที่เป็นลูคีเมีย ผู้ป่วยไฮเปอร์ไทรอยด์ และผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
  • ผู้ป่วยจิตเภท หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ และไม่สามารถดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเองได้

ดังนั้นผู้ที่สูญเสียฟันและต้องการทำรากฟันเทียมจึงควรประเมินตนเองก่อนว่ามีปัจจัยเสี่ยงตามข้างต้นหรือไม่ หรือหากไม่แน่ใจสามารถพบทันตแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยละเอียดก่อนตัดสินใจทำรากฟันเทียม

หลังจากทันตแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าคนไข้สามารถทำรากฟันเทียได้ ก็มาถึงขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการใส่รากฟันเทียม โดยในผู้ที่มีร่างกายเเข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ เเต่ในกรณีที่มีโรคประจำตัว มียาที่จำเป็นต้องรับประทานเป็นประจำ หรือมีประวัติการแพ้ยา ต้องแจ้งต่อทันตแพทย์ก่อนการฝังรากเทียม หลังจากการตรวจประเมินอย่างละเอียดโดยทันตแพทย์แล้ว จะมีการถ่ายภาพเอกซเรย์ทันตกรรม 3 มิติ (Dental CT Scan) เพื่อการวางแผนการรักษาทำรากเทียมที่ถูกต้องและแม่นยำ


ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
คลินิกทันตกรรม ดิไอวรี่  ได้ที่เบอร์ 02-275-3599 ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.
หรือสามารถติดต่อได้ทาง LINE: @theivorydental

แบร็คเก็ตหลุดและลวดทิ่มกระพุ้งแก้ม ในช่วงโควิด-19 ทำอย่างไรดี?

Create Date | 15 เมษายน, 2020 19249 Views

แบร็คเก็ตหลุดและลวดทิ่มกระพุ้งแก้ม ในช่วงโควิด-19 ทำอย่างไรดี?

◾แบร็คเก็ตหลุด แต่ห้อยค้างบนลวด
เสี่ยงหลุดลงคอระหว่างเคี้ยวอาหาร ควรพบทันตแพทย์เพื่อติดแบร็คเก็ตใหม่

◾แบร็คเก็ตหลุดออกจากลวด

เก็บแบร็คเก็ตไว้ ค่อยนำไปให้ทันตแพทย์ติดใหม่ เมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้น

◾ลวดทิ่มกระพุ้งแก้ม

ดัดปลายลวดด้วยแหนบ ดินสอหรือช้อนเล็กๆ จากนั้นติดขี้ผึ้งที่ปลายลวดปิดความคม หรือ ใช้กรรไกรตัดเล็บตัดปลายลวด

* อุปกรณ์ที่ใช้ต้องสะอาด และผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์

 

ข้อมูลโดย: สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย

อยู่บ้านมีปัญหาช่องปาก…ทำไงดี?
ปรึกษาทันตแพทย์ออนไลน์ 24 ชม.
ปรึกษาเลย 

วัสดุอุดฟันหลุดหรือแตก ในช่วงโควิด-19 ทำอย่างไรดี?

Create Date | 13 เมษายน, 2020 10592 Views

วัสดุอุดฟันหลุดหรือแตก ในช่วงโควิด-19 ( Covid-19 ) ทำอย่างไรดี?

ลองสังเกตว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่?

◾เศษอาหารติดฟัน แต่ไม่ปวด
ใช้ไหมขัดฟันกำจัดเศษอาหารออกอย่าให้เศษอาหารติดข้ามคืน อาจทำให้ปวดเหงือก เหงือกอักเสบ

◾ปวดหรือเสียวฟัน
ทานยาแก้ปวด งดอาหารแข็ง เหนียว รสจัด หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบทันตแพทย์

◾เคี้ยวเจ็บ แต่วัสดุไม่หลุด ฟันไม่โยก
ทานยาแก้ปวด งดอาหารแข็ง เหนียว กรอบ 1-2 สัปดาห์ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบทันแพทย์

◾วัสดุคม บาดลิ้น เกิดแผลในช่องปาก
ระวังการเคี้ยวอาหาร เพื่อลดการเจ็บปวด และรีบพบทันตแพทย์เพื่อแก้วัสดุที่คม

ข้อมูลโดย: สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย

🏠อ ยู่ บ้ า น มี ปั ญ ห า ช่ อ ง ป า ก …ทำไงดี?
ปรึกษาทันตแพทย์ออนไลน์ 24 ชม. 🕛
👉 ปรึกษาเลย 

มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19

Create Date | 19 มีนาคม, 2020 3365 Views

คลินิก ทันตกรรม ดิไอวรี่ มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้เข้ารับบริการ และทีมงานดิไอวรี่ทุกคนโดยมีมาตรการดังต่อไปนี้

1.คัดกรองผู้ที่เข้ารับบริการทุกคน พร้อมซักประวัติอย่างละเอียด

2.ทันตแพทย์ ผู้ช่วยทันตแพทย์ และพนักงานทุกคนสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

3.บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ

4.ทำความสะอาดพื้นที่ที่มีการสัมผัสภายในคลินิกด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหลังจากผู้มารับบริการใช้พื้นที่นั้นทันที (เพิ่มเติมจากการฆ่าเชื้อในห้องตรวจซึ่งปฏิบัติเป็นปกติ)

5.เพิ่มขั้นตอนการเตรียมตัวคนไข้ก่อนการรักษา โดยกลั้วคอด้วยน้ำยา เบตาดีน การ์เกิล ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อในช่องปาก ก่อนทำการรักษาทุกครั้ง

6. ทีมพนักงานทุกคนหลีกเลี่ยงการไปที่ชุมชนในวันหยุดทำงาน และรักษาสุขนามัยของตนอย่างเคร่งครัด

คลินิกทันตกรรม ดิไอวรี่ จะดำเนินการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสอย่างเข้มงวด เพราะเราคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการทุกท่านเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ฟอกสีฟัน แบบไหนได้ผลดี?

Create Date | 9 มกราคม, 2020 2531 Views

ปัจจุบันฟันขาวคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา หากฟันไม่ขาวจากภายในตัวฟันเองสามารถทำได้ด้วยการฟอกสีฟัน หรืออีกวิธีที่ทำได้คือ การทำวีเนียร์ (Veneer) ในบทความนี้จะกล่าวถึงการฟอกสีฟันซึ่งเป็นการทำให้ฟันขาวขึ้นได้โดยมีผลกระทบต่อตัวฟันและเคลือบฟันน้อยที่สุด

การฟอกสีฟันมีทั้งแบบทำในคลินิกโดยทันตแพทย์ (In-office bleaching) โดยวิธีนี้จะใช้สารฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นสูง และมีการเร่งปฏิกิริยา ด้วยแสงเพื่อช่วยเร่งให้ผลการฟอกสีฟันเกิดเร็วขึ้น และมีแบบที่ทันตแพทย์ทำถาดฟอกสีฟันให้ผู้ป่วยกลับไปฟอกเองที่บ้าน (Home bleaching) วิธีนี้ทันตแพทย์จะจ่ายน้ำยาฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นต่ำให้ผู้ป่วยไว้ใส่ในถาดฟอกสีฟัน ผู้ป่วยจะต้องใส่ถาดฟอกสีฟันในช่องปากวันละประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ใส่เวลานอน

การฟอกสีฟันแบบ In-office ผู้ป่วยจะรู้สึกฟันขาวขึ้นทันทีหลังทันตแพทย์ฟอกสีฟันเสร็จ ส่วนการฟอกสีฟันแบบ Home จะใช้เวลานานกว่าการฟอกสีฟันแบบ In-office ในการที่จะทำให้ฟันขาว แต่ฟันที่ขาวขึ้นจะอยู่ได้นานกว่าการฟอกสีฟันแบบ In-Office

ดังนั้นในบางกรณีจึงมีการใช้2วิธีนี้ร่วมกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย

ข้อมูล: หนังสือ ครบเครื่องเรื่อง ฟัน FUN

ทำรากฟันเทียม ดีหรือไม่?

Create Date | 8 มกราคม, 2020 2309 Views

รากฟันเทียมเป็นวัสดุรูปร่างคล้ายรากฟัน และใส่เข้าไปในกระดูกขากรรไกรเพื่อทดแทนรากฟันที่หายไป โดยทั่วไปวัสดุที่นำมาทำคือ “ไทเทเนียม” ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากับร่างกายเป็นอย่างดี โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกาย

เมื่อผู้ป่วยมีรากฟันเทียมอยู่ในช่องปากแล้ว มักจะเกิดข้อสงสัยว่ารากฟันเทียมมีการหมดอายุการใช้งานหรือไม่ และจะใช้เคี้ยวอาหารได้หรือไม่?

จริงๆ แล้ว รากฟันเทียมก็เสมือนกับฟันของเราที่ไม่มีอายุการใช้งาน มันควรจะอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต ถ้าเราดูแลสุขภาพช่องปากได้อย่างถูกต้อง รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้เหมือนกับฟันธรรมชาติ และไม่มีข้อห้ามในการใช้งานที่แตกต่างไปจากฟันธรรมชาติ และสามารถใช้เคี้ยวอาหารได้ทุกชนิด

อย่างไรก็ตาม รากฟันเทียมไม่ได้เหมาะกับผู้ป่วยทุกคนที่สูญเสียฟันธรรมชาติ ทันตแพทย์จะทำการวิเคราะห์ว่าท่านเหมาะสมกับการใส่รากฟันเทียมหรือไม่? ด้วยการซักประวัติ ตรวจในช่องปาก พิมพ์ปากเพื่อนำมาทำแบบจำลองฟัน และเอกซเรย์เพื่อดูปริมาณกระดูกว่าเหมาะสมหรือไม่

ปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยไม่เหมาะกับการใส่รากฟันเทียมแบ่งออกเป็น ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัว และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปริมาณและคุณภาพของกระดูก บริเวณที่จะใส่รากฟันเทียม เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ หรือเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมระดับน้ำตาลที่ดีพอ หรือมีกระดูกที่แคบ หรือเตี้ย จนไม่สามารถทำการบูรณะให้เหมาะสมก่อนการใส่

รากฟันเทียมได้ ก็จะไม่เหมาะสมกับการใส่รากฟันเทียม ซึ่งทันแพทย์ก็จะให้คำแนะนำในการใส่ฟันปลอมชนิดอื่น

โดยสรุป รากฟันเทียมเป็นทางเลือกที่ดี ถ้าผู้ป่วยมีสภาวะหรือข้อบ่งชี้ที่เหมาะสม

ข้อมูล: หนังสือ ครบเครื่องเรื่อง ฟัน FUN

เหงือกบวม เหงือกอักเสบ ทำไงดี

Create Date | 4 มกราคม, 2020 52802 Views
คลินิก-ทันตกรรม-ดิไอวรี่-เหงือกบวม-ทำไงดี

 

เหงือกบวม เหงือกอักเสบ ทำไงดี

  • อาการเหงือกบวมมีเลือดออก และบางครั้งมีหนองไหลออกมาจากร่องเหงือก เป็นอาการของโรคปริทันต์ในระยะที่ลุกลามมากแล้ว เมื่อตรวจดูจะพบว่า ร่องเหงือกมีความลึกมากขึ้น ซึ่งเรียกว่าร่องลึกปริทันต์ หรือบางทีก็เห็นตัวฟันยากเพิ่มขึ้นด้วย

  • การรักษาโรคเหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์ขึ้นกับอวัยวะปริทันต์ที่อยู่รอบๆ ฟันที่ทำหน้าที่ช่วยยึดฟันให้แน่นว่าถูกทำลายไปมากน้อยแค่ไหน หากอวัยวะปริทันต์มีเหลือพอที่จะช่วยยึดฟัน อาจพิจารณารักษาโดยการทำความสะอาดร่องลึกปริทันต์ บางรายอาจทำการผ่าตัดเหงือกเพื่อลดความลึกของร่องลึกปริทันต์

การรักษา

สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ ได้ผล ตัวผู้ป่วยเองจะต้องรักษาความสะอาดของช่องปากอย่างสม่ำเสมอ การเป็นโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์นี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองโดยการแปรงฟันร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดบริเวณซอกฟัน เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์อันเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค การดูความสะอาดในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เหงือกกลับคืนสภาพปกติได้

  • ถ้าตรวจพบว่าเหงือกถูกทำลายไปมากแล้ว การรักษาคงต้องถอนฟันซี่นั้นออก โรคปริทันต์เป็นโรคที่มีการทำลายอวัยวะ

  • ปริทันต์อย่างถาวร คือ เหงือก เยื่อยึดปริทันต์ เคลือบรากฟัน กระดูกขากรรไกร จะถูกทำลายไปโดยไม่สามารถรักษาให้คืนสภาพปกติได้ ร่องเหงือกจากปกติที่ลึกประมาณ 2-3 มิลลิเมตร จะลึกมากขึ้นเกิดเป็นร่องลึกปริทันต์เป็นที่อยู่ของคราบจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นตัวการของการเกิดโรค อาการของโรคจะรุนแรงเป็นระยะๆ ผู้ที่เป็นโรคต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการเหงือกบวม ปวด ฟันโยก หรือมีหนองไหลออกจากร่องลึกปริทันต์ การเป็นโรคมักจะเป็นกับฟันหลายๆ ซี่ จึงส่งผลให้มีการสูญเสียฟันเป็นจำนวนมากในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ

  • การขูดหินปูน ทั้งนี้จะขูดหินปูนบ่อยแค่ไหนในแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับการมีหินปูนเกิดขึ้นได้ช้าหรือเร็ว ซึ่งก็จะมีความแตกต่างกัน บางคนมีหินปูนเกาะมากและเกิดได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางคนมีหินปูนเกิดได้น้อยหรือแทบจะไม่เกิดเลย ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากมีความแตกต่างในเรื่องส่วนประกอบของน้ำลาย ชนิดของคราบจุลินทรีย์ และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร อันเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดหินปูน นอกจากนี้ยังขึ้นกับพฤติกรรมการดูแลความสะอาดในช่องปากของแต่ละบุคคลด้วย

  • การป้องกันไม่ให้เป็นโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ ต้องดูแลความสะอาดของช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดโรค การแปรงฟันนับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจุลินทรีย์ ควรแปรงอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เวลาเช้า และก่อนเข้านอน ด้วยเหตุผลที่ว่าคราบจุลินทรีย์จะก่อตัวขึ้นใหม่หลังการแปรงฟันภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งในแต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกันไป นอกจากการแปรงฟันแล้ว ควรใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดบริเวณซอกฟันในส่วนที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง ก็จะช่วยให้กำจัดคราบจุลินทรีย์อันเป็นต้นเหตุการเกิดโรคได้ดียิ่งขึ้น


การรักษาหลังเกิดเหงือกอักเสบรักษาได้ง่ายโดยการขูดหินน้ำลาย (ขูดหินปูน) ร่วมกับการพัฒนาวิธีการแปรงฟันและใช้อุปกรณ์เสริมที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสะสมใหม่ของคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรค  โดยสำหรับคนส่วนใหญ่ควรได้รับการขูดหินน้ำลายทุกๆ 6-12 เดือนอย่างไรก็ดี เมื่อเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งมีการละลายของกระดูกแล้ว 

ขั้นตอนการรักษา แบ่งได้เป็น 3 ช่วง คือ

  1. ช่วงควบคุมโรค โดยการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาหลายครั้งจึงจะเสร็จทั้งปากขึ้นอยู่กับความลึกของร่องลึกปริทันต์และปริมาณหินน้ำลายใต้เหงือก 
  2. ในรายที่ผู้ป่วยเป็นโรคในระดับที่รุนแรงมากขึ้น การรักษาช่วงต้น อาจจะยังไม่สามารถกำจัดคราบหินน้ำลายใต้เหงือกได้หมด จึงจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเหงือกในบางบริเวณร่วมด้วย  ในบางกรณีที่เหมาะสมอาจสามารถทำศัลยกรรมปลูกกระดูกทดแทนได้ด้วย   และการรักษาโรคปริทันต์อักเสบช่วงสุดท้ายคือ

  3. สุดท้ายคงสภาพ เนื่องจากสาเหตุของโรคปริทันต์อักเสบคือเชื้อโรคจากน้ำลายที่มาสะสมบนตัวฟัน ดังนั้นแม้การรักษาจะเสร็จสิ้นแล้ว หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ โรคจะกลับเป็นใหม่ได้ง่าย ดังนั้นหลังจากการรักษาแล้วผู้ป่วยควรได้รับการขูดหินน้ำลายเพื่อป้องกันการกลับเป็นใหม่ของโรค โดยมากผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคปริทันต์อักเสบแล้วควรได้รับการขูดหินน้ำลายทุกๆ 3-6 เดือน 

วิธีการป้องกันอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ

อาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ นั้นสามารถที่จะป้องกันได้ โดยดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้ถูกวิธี โดยมีวิธีดังต่อไปนี้

  • ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรแปรงฟันอย่างถูกวิธี
  • ทานอาหารทีมีประโยชน์ มีสารอาหารครบ 5 หมู่ และเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินซีสูง เพื่อทำให้เหงือกแข็งแรง
  • ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากทุก ๆ 6 เดือน
  • คอยสังเกตอาการผิดปกติของฟันและเหงือก หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมและอาหารที่มีรสหวานที่เป็นสาเหตุของฟันผุ
  • ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์อ่อน ๆ เพื่อลดการระคายเคือง และใช้ไหมขัดฟันหลังแปรงฟันทุกครั้ง

สำหรับท่านใดที่มีอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ แนะนำให้เข้ามาตรวจวินิจฉัยโดยทันตแพทย์เฉพาะทางด้านโรคเหงือก และควรรีบรักษาในทันที เพราะหากปล่อยให้อาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ เป็นมากขึ้น อาจจะส่งผลทำให้สูญเสียฟันได้ในที่สุด 

คลินิกทันตกรรม ดิไอวรี่ มีทันตแพทย์เฉพาะทางด้านโรคเหงือกที่พร้อมดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของคุณ 


ปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางด้านโรคเหงือก ได้ที่ คลินิกทันตกรรม ดิไอวรี่

โทร. 02-275-3599 ได้ทุกวัน (ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.)
หรือสามารถติดต่อได้ทาง LINE: @theivorydental

6 ข้อดี ของการทำรากฟันเทียม

Create Date | 26 ธันวาคม, 2019 6110 Views

“การที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ช่วยให้คุณภาพดีขึ้น” คนที่ฟันหลุด ไปแล้วจะเข้าใจความหมายนี้ดีค่ะ เพราะ ไม่ใช่แค่บุคลิคภาพของเรา แต่ยังรวมไปถึงการรัปทานอาหาร เพื่อสุขภาพ การพูด ตลอดจนการเข้าสังคม แต่ถ้าหาก สุดวิสัยและ จำเป็นต้องถอนฟันออก หรือ ฟันหลุดไม่ว่าจะกรณีใดๆ การทำรากเทียมก็เป็นอีก ทางเลือกในการ ทดแทนฟันที่หายไป ค่ะ วันนี้เรามาพูดถึงข้อดีข้อเสีย ในการทำรากฟันเทียมกันค่ะ ในความคิดส่วนตัวแล้ว แอดมินคิดว่า การทำรากเทียม ไม่ได้เจ็บและน่ากลัวเท่ากับการถอดฟันค่ะ 

ข้อดี ของการทำรากเทียม

  • ฟันไม่หลอ
  • มั่นใจ
  • ให้ประสิทธิภาพการเคี้ยวเท่าเทียมฟันจริง
  • ไม่ต้องยุ่งกับฟันข้างเคียง
  • ไม่เกิดผุซ้ำ เพราะไม่มีฟันให้ผุอีกตรงที่ทำ
  • ไม่ต้องรอคิวนาน ตัดสินใจแล้วทำที่ดิไอวรี่คลินิกได้ทันทีเลยค่ะ

ข้อเสีย ของการทำรากเทียม

  • ราคาแพง ถ้าทำหลายๆตำแหน่ง เหมือนอมรถไว้ในปากคันหนึ่ง
  • มีโรคทางระบบมารุมเร้า  เช่น เบาหวาน เป็นต้น อาจมีภาวะเสี่ยง กระดูกเน่า
  • ถ้าล้มเหลว การแก้ไข ทำได้ลำบาก เพราะเป็นหัตการ ฝังแท่นเข้าถึงกระดูก แต่เกิดขึ้นน้อย
  • กระดูกที่รองรับต้องมั่นคง  ตำแหน่งที่ฝัง ต้องปลอดภัยต่อ เส้นเลือดแดงและเส้นประสาทที่ทอดขนานอยู่ รวมทั้ง โพรงของไซนัสด้วย
  • ราคาที่ค่อนข้างสูง
รู้หรือไม่คะการทำรากฟันเทียม ทดแทนฟันที่หลุดหายไป ไม่น่ากลัวเท่าที่คิดนะคะ

สำหรับผู้ที่ กำลังจะใส่ ฟันปลอม หรือผู้ที่กำลังจะเปลี่ยนฟันปลอม  ไม่มีอะไรดีไปหมด ไม่มีอะไรเลวร้ายไปหมด  บางรายหนึ่งอาจเหมาะกับอย่างหนึ่ง แต่ไม่เหมาะกับอีกอย่างค่ะไม่อาจ นำเอาข้อมูลคนหนึ่งมาวัดเข้ากับตนเอง ทุกคนมีปัจจัย ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นค่อยๆพิจารณา และนำข้อมูลเหล่านี้ ปรึกษาหารือ กับทันตแพทย์ที่เราไปพบ อย่างน้อยเราก็พอมีความรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับ ฟันปลอมพอสมควร ที่จะใช้ซักถาม เพื่อหาสิ่งที่คิดว่าใช่ที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม แอดมินอยากขอให้รักษา ฟันตนเองไว้ให้ดีที่สุดค่ะ อย่าต้องพึ่งพา ของปลอม มีปัญหา รีบแก้ไขแต่เนิ่นๆ อย่ากลัว การทำฟันทุกครั้ง ไม่ได้น่ากลัวหรือย่ำแย่ทุกครั้งไปพบทันตแพทย์ช่วยตรวจฟันบ่อยๆนะคะ แต่จริงๆแล้ว คนที่ยิ่งกลัวหมอฟัน เวลา มีปัญหาทุกครั้ง มักสร้างความเจ็บปวด มีแต่คนที่ไม่กลัว หาหมอบ่อยๆ มักเป็นงานง่ายๆ ราคาเบาๆ ไม่เจ็บปวดค่ะ

รู้อย่างนี้อย่ากลัว หมอฟันอีกต่อไปนะคะ

ทำไมต้องแช่ฟันปลอมในน้ำหลังถอด

Create Date | 18 ธันวาคม, 2019 31128 Views

เวลาถอดฟันปลอม จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องแช่ฟันปลอมไว้ในน้ำ

          เพราะฟันปลอมต้องเก็บให้ชุ่มชื้นเสมอ เพื่อรักษารูปทรงให้คงที่ จึงควรแช่ไว้ในน้ำสะอาดหรือน้ำยาทำความสะอาดฟันปลอม หาซื้อได้ทั่วไปค่ะ จะช่วยการหดตัวของวัสดุที่ใช้ทำฐานฟันปลอม ซึ่งจะมีผลให้ใส่ไม่พอดีกับปาก ผิดรูปและจะมีอายุการใช้งานที่สั้นลง จากการดูแลรักษาไม่ดีนั่นเองค่ะ

ดังนั้น ฟันปลอมแบบถอดได้ จำเป็นต้องถอดออกแช่น้ำเวลานอน ที่ต้องถอดไม่ได้ห่วงฟันปลอมนะคะ ฟันปลอมเสียโยนทิ้งทำใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่ต้องถอดออกเพื่อรักษาเหงือกและฟันจริงต่างหาก เนื่องจากการที่ใส่ฟันปลอมกดทับเหงือกทั้งวันทั้งคืนจะทำให้เหงือกอักเสบ ติดเชื้อราได้ง่าย ช่วงแรกอาจไม่มีอาการอะไร แต่นานๆไปจะเจ็บปวดแสบปวดร้อนในปากค่ะ นอกจากนี้แล้วการใส่ฟันปลอมตลอดเวลาไม่ถอดออกเลยจะทำให้เกิดฟันผุได้ง่ายกว่าปกติด้วย

ฟันปลอม

 

การใส่ฟันปลอม ต้องเอาใจใส่ดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพราะฟันปลอมเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้มีเศษอาหารตกค้างได้มาก หลังจากใส่ฟันปลอมควรมาพบทันตแพทย์ตรวจช่องปากและฟันปลอมทุก 6 เดือน หรืออย่างน้อยปีละครั้ง เนื่องจากอาจเกิดฟันผุหรือเหงือกอักเสบขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจต้องเสริมฐานฟันปลอมในบริเวณที่เหงือกยุบตัวลงไป หรืออาจต้องเปลี่ยนฟันปลอมใหม่ เมื่อฟันปลอมเดิมหมดอายุการใช้งาน

ควรถอดทำความสะอาด และแช่น้ำไว้เมื่อเวลานอน เพื่อลดแรงกดทับของฐานฟันปลอม ต่อเนื้อเยื่อ และเยื่อเมือกของช่องปาก หากใส่ฟันปลอมไว้ตลอดเวลาผลเสียที่จะเกิดขึ้นคือ ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในช่องปาก มีผลให้เกิดการอักเสบ หรือบางครั้งถ้ามีการระคายเคืองมาก อาจส่งผลให้เกิดเป็นก้อนเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงขึ้นที่บริเวณขอบหรือใต้ฐานฟันปลอม ซึ่งมักพบได้บ่อยกับฟันปลอมชนิดถอดได้ทั้งปาก นอกจากนี้ การใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้ตลอดเวลามักจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้